ทุนวัฒนธรรม ลำดับที่ 17: กลองยาว นางรำ

กลองยาว นับว่าเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยม และเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นในทุกภูมิภาคของไทยที่สืบทอดกันมายาวนานเป็นที่น่าเสียดายที่เยาวชนรุ่นใหม่ มีความสนใจในเครื่องดนตรีชนิดนี้น้อยลงเรื่อยๆ แต่ก็มีบางโรงเรียนที่เล็งเห็นความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่นนี้จึงกำหนดให้มีการเรียนการสอนวิชากลองยาว

   กลองยาวมีลักษณะลำตัว หรือตัวหุ่นกองยาวตอนหน้าใหญ่ตอนท้ายเรียวแล้วบานปลายเป็นรูปดอกลำโพง ตัวหุ่นกองทำด้วยไม้ ขึ้นหนังหน้าเดียวตรงกลาง เป็นโพรงทะลุติดต่อจากหัวถึงท้าย ขนาดของกองยาวที่นิยมใช้ในปัจจุบันนี้มี 3 ขนาด คือ กลองยาวขนาดเล็ก มีเส้นผ่าศูนย์กลางที่หน้าลองขนาด 7-8 นิ้ว เหมาะสำหรับนักเรียนในระดับประถมศึกษา กลองยาวขนาดกลาง มีเส้นผ่าศูนย์กลางที่หน้ากองขนาด 9-10 นิ้ว เหมาะสำหรับนักเรียนในระดับมัธยมศึกษา และกลองยาวขนาดใหญ่ มีเส้นผ่าศูนย์กลางที่หน้ากลองขนาด 11-12 นิ้ว เหมาะสำหรับผู้ใหญ่ที่ลำตัวกลองยาว มีสายสะพายสำหรับคล้องสะพานบ่า ใช้ตีด้วยฝ่ามือ แต่ในบางครั้ง ก็มีการตีด้วย เข่า ศอก เท้า หรือศีรษะ เมื่อมีการเล่นผาดโผน กลองยาวนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “เถิดเทิง” หรือ “เทิ้งบ้องกลองยาว”

          เครื่องดนตรีที่ใช้ร่วมบรรเลงกับกลองยาวมี ฉิ่ง ฉาบเล็ก ฉาบใหญ่ กรับ ฆ้องเล็ก ต่อมามีปี่ชวา ซอ เข้าร่วมด้วย แต่ในปัจจุบันนิยมนำคีย์บอร์ด หรือกีต้าร์มาเล่นแทนปี่ชวา หรือซอซึ่งหาคนเล่นได้ยากขึ้น

          ประวัติความเป็นมาของกลองยาวนั้น ไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัดว่าใครเป็นผู้ประดิษฐ์   แต่มีการกล่าวต่อๆกันมาว่า เป็นกองที่ได้แบบอย่างมาจากพม่า ในเราสมัยกรุงธนบุรี หรือกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ในสมัยที่ไทยทำสงครามกับพม่าบ่อยๆ เมื่อเวลาพักรบ พม่าก็เล่นกลองยาวกันอย่างสนุกสนาน เมื่อคนไทยเห็นจึงจำเอาเป็นแบบอย่างมาเล่นบ้าง แต่บางท่านก็กล่าวว่ากลองยาวนี้ มีพม่าพวกหนึ่งได้นำมาเผยแพร่   ในประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งต่อมาคนไทยได้นำกลองยาว มาใช้เล่นในงานที่มีขบวนแห่ เช่น การบวชนาค การทอดผ้าป่า การทอดกฐิน เทศกาลสงกรานต์ หรือเทศกาลอื่นๆ และมีการรำกลองยาวด้วยท่าทางต่างๆ ที่สวยงามประกอบ ทำให้มีความสนุกสนานรื่นเริงยิ่งขึ้น

          กลองยาวนับว่า เป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยม และเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นในทุกภูมิภาคของไทยที่สืบทอดกันมายาวนาน เป็นที่น่าเสียดายที่เยาวชนรุ่นใหม่ มีความสนใจในเครื่องดนตรีชนิดนี้   น้อยลงเรื่อยๆ แต่ก็มีบางโรงเรียนที่เล็งเห็นความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่นนี้ จึงกำหนดให้มีการเรียน  การสอนวิชากลองยาวขึ้น 

กลองยาวมีส่วนเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมไทยหลายๆด้าน จะเห็นได้ว่ากลองเป็นส่วนหนึ่งในนิทานสำนวน ความเชื่อ และอื่นๆ ขอยกตัวอย่างนิทานสำนวน และความเชื่อที่เกี่ยวกับกลอง ดังนี้ นิทานเกี่ยวกับกลองเรื่อง “กลองเป็นเหตุ” กล่าวไว้ว่า มีชายหนุ่มผู้หนึ่งเป็นนักตีกลองมือฉมัง เขาตีกลองได้จังหวะไพเราะจับใจมาก ไม่มีใครจะมาเทียบได้ อาชีพของเขา คือ วนิพก ออกหากินโดยการตีกลองให้ผู้คนได้รับฟัง ผู้คนที่ได้ยินเสียงกลอง   ตีกลองให้ผู้คนได้รับฟัง ผู้คนที่ได้ยินเสียงกลองของเขาแล้ว ต่างอดไม่ได้ที่จะต้องให้สตางค์แก่เขา เขาได้นำเงินนั้นมาเลี้ยงครอบครัวอยู่อย่างมีความสุข เขามีลูกชายคนหนึ่ง จึงได้ฝึกหัดให้ตีกลอง ทั้งสองพ่อลูกต่างช่วยกันตีกลองออกแสดงตามงานต่างๆ

          วันหนึ่งมีงานนักขัตฤกษ์ ทั้งสองพ่อลูกก็ออกไปตีกลองเหมือนเช่นเคย ประชาชนที่มาในงานเมื่อได้ยินเสียงกลองต่าง พากันมาแห่ห้อมล้อมดู และช่วยกันบริจาคเงินแก่สองพ่อลูก ทั้งสองคนพ่อลูกได้ตีกลองจนดึกและได้เงินจำนวนมาก ในวันรุ่งขึ้นเขาจะต้องไปตีกลองที่อื่นต่อ ทั้งสองจึงเอาสตางค์ใส่ย่ามแล้วพากันเดินตามทางมา ทางนั้นเป็นทางเปลี่ยว มีพวกโจรผู้ร้ายคอยดักปล้นจี้อยู่เสมอ ระหว่างเดินทางมาสองพ่อลูกก็พากันตีกระหน่ำกลอง พ่อบอกลูกว่า “ลูกเอ๊ย ตีกลองให้น่าฟัง จะต้องตีให้เป็นจังหวะจะโคน เมื่อเราเดินป่าเราควรตีเป็นเพลงยกทัพจึงจะดี” เมื่อตีได้มาครึ่งทาง โจรผู้ร้ายก็แปลกใจคิดว่าเป็นขบวนแห่ของพระราชา จึงชวนกันวิ่งหนี วิ่งไปก็ฟังไปพบว่าการตีกลองไม่เป็นจังหวะเดียวกัน ผู้เป็นลูกนึกถึงเพลงไหนได้ก็ตีเพลงนั้น ไม่ใช่เป็นเพลงยกทัพทั้งหมด โจรผู้ร้ายก็นึกแปลกใจ จึงย้อนกลับไปยังที่เดิมก็พบว่าเป็น 2 คนพ่อลูกที่ตีกลองในงานนั่นเอง โจรผู้ร้ายจึงเข้าไป   จี้เอาทรัพย์สินไปหมด เมื่อกลับมาถึงบ้านพ่อก็สั่งสอนว่า “ลูกเอ๊ย ต่อไปนี้ไม่ว่าพ่อ หรือผู้หลักผู้ใหญ่สั่งสอนอะไรเจ้าต้องปฏิบัติตาม ที่เราสองคนพ่อลูกถูกโจรผู้ร้ายจี้เอาเงินทองจนหมดตัว ”

          ส่วนสำนวนที่เกี่ยวกับกลองนั้น แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ใกล้ชิดของกลองกับวิถีชีวิตของคน ซึ่งดูได้จากการนำเอากรอง และสัญญาณเสียงกลองเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในสำนวนต่างๆ ที่ใช้พูดกันทั่ว ตัวอย่างเช่น สำนวนโยนกรอง หมายความว่า โยนภาระให้ผู้อื่นโดยปฏิเสธว่าไม่ใช่หน้าที่ของตน มูลของสำนวนนี้มาจากประเพณีตีกลองร้องฎีกา คือ เมื่อราษฎรเข้าไปตีกลองร้องฎีกาพระเจ้าแผ่นดินก็ทรงรับฎีกาไปพิจารณา เรื่องที่เกิดขึ้นพัวพันเกี่ยวข้องไปหลายฝ่าย ต่างฝ่ายต่างก็ว่าเป็นหน้าที่ของผู้อื่น จนไม่เกี่ยวข้องโยนกันไป  โยนกันมา เรื่องเกิดจากตีกลองร้องฎีกา จึงพูดเป็นสำนวนว่าโยนกรอง และสำนวนเทิดเทอมที่ไหนไปที่นั่น ความหมายของสมทวนนี้ มาจากอบายมุขทางเสื่อมที่เกิดจากการติดดูการละเล่นเถิดเทิง คือกลองยาว แสดงถึงว่าที่ใดมีเถิดเทิง คือ การเล่นกลองยาวที่นั่น ก็มีความสนุกสนานจากการเล่น ซึ่งไม่ควรจะไปดูอย่างนั้นเพราะจะทำให้ผู้ติดดูการเล่นเสียทั้งสุขภาพ เพราะไม่ได้พักผ่อน และเสียทั้งการเสียทั้งงานเพราะเอาเวลาไปดูการและเล่นเสียหมด สำหรับความเชื่อที่เกี่ยวกับกรองนั้นมีข้อห้ามและข้อปฏิบัติดังนี้ 

  1. ผู้เริ่มหัดทำกลองครั้งแรก จะต้องประกอบพิธียกครูกลองก่อน เพื่อความเป็นสิริมงคล 
  2. ห้ามข้ามกอง และเครื่องมือทำกลองเพราะถือว่า เป็นการลบหลู่ดูหมิ่นอุปกรณ์ที่ใช้ทำมาหากิน   เพราะนอกจากจะไม่เป็นสิริมงคลแล้ว ยังทำให้เป็นอัปมงคลกับตนเองอีกด้วย
  3. ห้ามนำไม้จากศาลเจ้าพ่อในหมู่บ้านมาทำกลอง
  4. ห้ามนำไม้ตกน้ำมันหรือไม้ตะเคียนมาทำกลอง เพราะเชื่อว่ามีวิญญาณสิงอยู่ในไม้เหล่านั้น
  5. ห้ามตัดต้นไทรและต้นตาลที่ถูกฟ้าผ่ามาทำกลอง
  6. ในการเริ่มแสดงกิจกรรมเกี่ยวกับกลองจะต้องมีการไหว้ครูก่อนเสมอ รวมทั้งการเล่นกลองยาวก็ต้องไหว้ครูเช่นกัน (มนตรี, 2549)

กลองยาวเป็นวงดนตรีที่เหมาะสำหรับ บรรเลงในขบวนแห่มากกว่าวงดนตรีประเภทอื่น เพราะเสียง ที่ตีได้ยินไปไกล ก่อให้เกิดความสนุกสนาน ราคาไม่แพงนักการซ่อมแซมดูแลรักษาง่าย เวลาบรรเลงก็สามารถเคลื่อนย้ายเป็นขบวนไปได้ง่าย โดยใช้หลังกับไหล่รับน้ำหนัก จะยืน นั่ง เดิน ตี ก็ได้ หรือใช้มือตีลงศอกลงเข่า      ก็สามารถทำได้ นับว่าพอใจทั้งผู้ชม และผู้บรรเลง (เจริญชัย ชนไพโรจน์,2529)

การรำกลองยาว

          ประวัติความเป็นมาของการรำกลองยาว การรำกลองยาว มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น เถิดเทิง เทิ่งบอง กลองยาว สันนิษฐานว่าแต่เดิม เป็นการเล่นของพวกทหารพม่า ในสมัยที่มีการต่อสู้กันปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา และเข้าใจว่าคนไทยนำมาเล่นในสมัยกรุงธนบุรี เพราะจังหวะสนุกสนานเล่นง่าย เครื่องดนตรีก็คล้ายของไทยและจังหวะก็ปรับมาเป็นแบบไทย ๆ เพื่อประกอบการรำ แต่การแต่งกายยังคงคล้ายรูปแบบของพม่า เช่น   โพกหัวแบบพม่า นุ่งโสร่ง เสื้อคอกลมแขนกว้าง แต่บางครั้งจะพบแต่งกายตามสบาย โอกาสที่แสดงนิยมในงานรื่นเริง เช่น ขบวนแห่นาค ขบวนแห่ผ้าป่า กฐิน งานฉลอง ขบวนขันหมาก ผู้รำร่วมก็จะแต่งกายตามสบาย แต่จะนิยมประแป้งพอกหน้าให้ขาว ทัดดอกไม้ เขียนหนวดเครา แต้มไฝ ลีลาท่าทางอาจจะแปลกพิสดาร ที่ทำให้ชวนหัวเราะ  ยั่วเย้ากันเองในหมู่พวก หรือคนดู และบางครั้งก็อาจไปรำต้อนคนดู เข้ามาร่วมวงสนุกไปด้วย ผู้รำจะมีทั้งชายและหญิง ส่วนพวกตีเครื่องประกอบจังหวะ ก็จะทำหน้าที่ร้องและเป็นลูกคู่ไปด้วย

          โอกาสที่แสดงมักนิยมเล่นกันในงานตรุษ งานสงกรานต์ หรือในงานแห่งแหน ซึ่งต้องเดินเคลื่อนขบวน เช่น ในงานแห่นาค แห่พระ และแห่กฐิน เป็นต้น เคลื่อนไปกับขบวน พอถึงที่ตรงไหนเห็นว่ามีลานกว้าง  หรือเป็นที่เหมาะก็หยุดตั้งวงเล่นรำกันเสียพักหนึ่ง แล้วก็เคลื่อนขบวนต่อไปใหม่ แล้วก็มาหยุดตั้งวงเล่น และรำกันอีก

          การแต่งกาย

          1. ชาย นุ่งกางเกงขายาวครึ่งแข้ง สวมเสื้อคอกลม แขนสั้น เหนือศอก มีผ้าโพกศีรษะและผ้าคาดเอว

          2. หญิง นุ่งผ้าซิ่นมีเชิงยาวกรอมเท้า สวมเสื้อแขนกระบอกคอปิด ผ่าอกหน้า ห่มสไบทับเสื้อ  สวมสร้อยตัวคาดเข็มขัดทับนอกเสื้อ สร้อยคอ และต่างหู ปล่อยผมทัดดอกไม้ด้านซ้าย

          ดนตรีที่ใช้

          เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการเล่นก็มีกลองยาว ( เล่นกันหลาย ๆ ลูกก็ได้) เครื่องประกอบจังหวะ มี ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง มีประมาณ 4 คน คนตีกลองยืน 2 คน คนตีกลองรำ 2 คน และหญิงที่รำล่ออีก 2 คน

          สถานที่แสดง

          แสดงในบริเวณพื้นลานกว้าง ๆ หรือบนเวที

          จำนวนผู้แสดง

          จำนวนผู้แสดงจะมีเป็นชุดราว 10 คน เป็นอย่างน้อยมีผู้บรรเลงดนตรี 4 คน คนตีกลองยืน 2 คน คนตีกลองรำ 2 คน และหญิงที่รำล่ออีก 2 คน

เวลาแสดงพวกตีเครื่องประกอบจังหวะ จะทำหน้าที่ร้องประกอบเร่งเร้าอารมณ์ให้สนุกสนาน  ไปในขณะตีด้วย คำที่ใช้ร้องเดิมมีหลายอย่าง แต่ที่ใช้ร้องขณะนี้มีอยู่ไม่กี่อย่าง ขอยกตัวอย่างบทร้องมาให้ดูดังนี้

          1) มาแล้วโหวย มาแล้ววา มาแต่ของเขา ของเราไม่มา ตะละล้า หรือมาแล้วโหวย มาแล้ววา มาแต่ป่า รอยตีนโตโต

          2) ต้อนเข้าไว้ ต้อนเข้าไว้ เอาไปบ้านเรา บ้านเราคนจนไม่มีคนหุงข้าว ตะละล้า หรือต้อนเข้าไว้ ต้อนเข้าไว้ เอาไปบ้านเรา พ่อก็แก่แม่ก็เฒ่า เอาไปหุงข้าวให้พวกเรากิน ตะละล้า

          3) ใครมีมะกรูด มาแลกมะนาว ใครมีลูกสาว มาแลกลูกเขย เอาวะ เอาเหวย ลูกเขยกลองยาว ตะละล้า

แต่งเนื่องจากคนไทย เรามีนิสัยเจ้าบทเจ้ากลอน จึงมักย้ายถ่ายเทการร้องให้ แปลกออกไป   หรือให้พิลึกพิลั่นเล่นตามอารมณ์ เช่น

“ใครมีมะกรูด มาแลกมะนาว” แล้วแทนที่จะร้องแบบเดิมก็ร้องกลับไปมาว่า

“ใครมีมะนาว มาแลกมะกรูด” แล้วย้ำว่า “มะกรูด ๆ ๆ ๆ มะนาว ๆ ๆ ๆ” ดังนี้ เป็นต้น

          จะเห็นได้ว่าการรำกลองยาว ย่อมเป็นส่วนของวัฒนธรรมที่แสดงออกมา จะเป็นวัฒนธรรมอยู่ในระดับใดก็แล้วแต่สถานที่ และโอกาสเหมาะกับถิ่นหนึ่ง แต่ไม่เหมาะกับอีกถิ่นหนึ่งก็ได้ ถ้าปรับให้มีลักษณะเหมือนกันตลอดทุกถิ่น ก็ไม่เป็นความเจริญในทางวัฒนธรรม ความเจริญของวัฒนธรรมอยู่ที่แปลกๆ ต่างๆ กัน   แต่ว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในส่วนรวม และรู้จักดัดแปลงแก้ไข ให้เหมาะกับความเป็นอยู่ของแต่ละท้องถิ่นตามกาลสมัย แต่ไม่ทำลายลักษณะอันเป็นเอกเทศของแต่ละถิ่นให้สูญไป เปรียบเหมือนเป็นคนไทยด้วยกัน

Scroll to Top