ทุนวัฒนธรรม ลำดับที่ 1 : วัดภูเขาทอง
วัดภูเขาทอง ตั้งอยู่นอกเกาะเมืองอยุธยาห่างจากพระราชวังโบราณไปประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นวัดที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จึงมีชื่อปรากฎอยู่ในเอกสารทางประวัติศาสตร์ทั้งของไทย และต่างประเทศ เช่น พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพระราชหัตถเลขา ฉบับกรมพระปรมานุชิตชิโนรส ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ฉบับพระจักพรรดิพงศ์ (จาด) ซึ่งได้กล่าวตรงกันว่า วัดภูเขาทองสถาปนาในรัชสมัยสมเด็จราเมศวร ศักราช 749 ปีเถาะ นพศก หรือ พ.ศ.1930 นอกจากนี้ หนังสือบรรยายภูมิสถานกรุงศรีอยุธยา ที่เล่าถึงพระอารามอันเป็นหลักของพระนครนอกกรุงเทพมหานครศรีอยุธยา ก็มีพระเจดีย์ภูเขาทอง วัดภูเขาทอง รวมอยู่ด้วย ในส่วนของเอกสารทางประวัติศาสตร์ต่างประเทศนั้น มีบันทึกเรื่อง The History of Japan Together with Description of Siam เขียนโดย Engelbert Kaempfer นายแพทย์ชาวเยอรมันประจำคณะทูตของบริษัทอินเดียตะวันออกของเนเธอแลนด์ (VOC) ที่เดินทางเข้ามาในกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ.2233 เพื่อถวายสาส์นขอเจริญพระราชไมตรี ต่อสมเด็จพระเพทราชาก่อนที่จะเดินทางไปญี่ปุ่น ซึ่งในบันทึกได้เล่าเรื่องราว ความเป็นอยู่ของประชากรกรุงศรีอยุธยาในขณะนั้น อีกทั้ง นายแพทย์แกมเฟอร์ ยังได้บรรยายความงดงามทางสถาปัตยกรรมของพระราชวัง พระพุทธรูป และวัดที่เขาพบเห็นด้วยความชื่นชมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะวัดภูเขาทอง ถึงขั้นมีการร่างสำเนาแบบแปลน และรายละเอียดของเจดีย์ภูเขาทองไว้อย่างดี ซึ่งต่อมาบันทึกฉบับนี้ได้กลายเป็นบันทึกจดหมายเหตุที่มีคุณค่าอย่างยิ่งในด้านประวัติศาสตร์ และโบราณคดี โดยกรมศิลปากรได้พิมพ์เป็นหนังสือชื่อ “ไทยในจดหมายเหตุแกมเฟอร์”



เจดีย์ภูเขาทอง เป็นเจดีย์ประธานของวัดภูเขาทอง องค์เจดีย์เป็นแบบย่อมุมไม้สิบสอง ตั้งอยู่บนฐานประทักษิณแบบมอญ มีความสูงตั้งแต่พื้นดินจรดยอดประมาณ 64 เมตร เป็นสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ที่ผสมผสานศิลปะไทยกับมอญไว้ด้วยกัน เจดีย์ภูเขาทองจึงเป็นหลักฐานที่สามารถสะท้อนให้เห็นภาพเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของชาติได้ ทำให้มีการค้นคว้าหาประวัติ และสาเหตุของการก่อสร้างเจดีย์องค์นี้ หากแต่เอกสารทางประวัติศาสตร์เท่าที่ปรากฏ ยังมีเนื้อความแตกต่างกันออกไป คงมีแต่หนังสือคำให้การของชาวกรุงเก่า กับ หนังสือมหาราชวงศ์พงศาวดารพม่า ที่บันทึกถึงการสร้างเจดีย์มีเนื้อความคล้ายกันว่า เมื่อคราวที่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาได้ จึงโปรดฯ ให้สร้างเจดีย์ใหญ่ที่ทุ่งภูเขาทอง แต่ก็ไม่ได้บันทึกไว้ชัดเจนว่าสร้างเสร็จสมบูรณ์หรือไม่ หรือสร้างเสร็จเมื่อใด
ในจดหมายเหตุแกมป์เฟอร์ ได้มีบันทึกแปลเป็นภาษาไทยไว้ว่า “…ชาวสยามได้สร้างพระเจดีย์องค์นี้เป็นที่ระลึก ณ ที่ซึ่งมีชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่เหนือกษัตริย์แห่งพะโค ผู้ซึ่งถูกปลงพระชนม์ และกองทัพใหญ่ของพระองค์ถูกทำลายลง เป็นผลให้พวกเขาพ้นจากอำนาจการปกครองของชาวพะโค และบูรณาการอิสรภาพของตนเช่นเดิม…” จากบันทึกนี้ ทำให้นักวิชาการประวัติศาสตร์หลายท่าน มีความเห็นว่า เจดีย์ภูเขาทองอาจจะเป็นเจดีย์ที่สร้างหรือบูรณะ ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อคราวที่ทรงทำยุทธหัตถีมีชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชหงสาวดี จึงโปรดฯ ให้สร้างเจดีย์ภูเขาทองเป็นการแสดงชัยชนะเหนือข้าศึกไว้บนฐานประทักษิณแบบมอญ อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาทางโบราณคดี การวิเคราะห์รูปแบบ เทคนิควิธีการก่อสร้าง เอกสารทางประวัติศาสตร์ ทำให้กำหนดอายุสมัยการก่อสร้าง และลำดับการบูรณะเจดีย์ภูเขาทองได้ดังนี้

การก่อสร้างสมัยแรก พบว่า เป็นฐานสี่เหลี่ยมลดชั้นแบบมอญ กว้างประมาณ 26 เมตร น่าจะอยู่ในระหว่าง
หลังเสียกรุงฯ ครั้งที่ 1 ถึงสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
การบูรณะครั้งที่ 2 อาจมีสาเหตุมาจากการก่อสร้างฐานแบบมอญไม่ได้สัดส่วน ทำให้ต้องขยายฐานออกไป จึงได้มีการเสริมความแข็งแรง โดยการก่อพอกฐานเพื่อประคององค์เจดีย์ไว้ คาดว่าการบูรณะครั้งนี้ อยู่ในสมัย พระเจ้าปราสาททอง
การบูรณะครั้งที่ 3 ได้ก่อพอกฐานเดิมออกไปอีก จนมีขนาดเท่าที่เห็นในปัจจุบัน และมีร่องรอยการเสริมของตัวองค์เจดีย์ ตรงตามหลักฐานพระราชพงศาวดารที่แสดงว่า การบูรณะครั้งนี้มีขึ้นในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ประมาณปี พ.ศ.2287
การบูรณะครั้งที่ 4 อยู่ในปี พ.ศ.2499 สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี มีการพอกเสริมฐานเจดีย์ให้กว้างขึ้น เป็นครั้งแรกที่ใช้ระบบเสา และคานคอนกรีต ช่วยในการรับน้ำหนักที่ถ่ายจากผนังภายในอุโมงค์เจดีย์ ต่อเติมปล้องไฉน ปลี และลูกแก้วที่ทำด้วยทองคำหนัก 2,500 กิโลกรัม เพื่อเฉลิมฉลองกึ่งกลางพุทธกาล 2500 ปี
การบูรณะครั้งที่ 5 บูรณะในปีพ.ศ.2540 สนับสนุนงบประมาณโดยบริษัท กรุงเทพ ประกันภัย (มหาชน) ภายใต้การควบคุมงานของกรมศิลปากร
การบูรณะครั้งที่ 6 ได้รับการบูรณะขัดปูนตำโบราณทั้งองค์ ในปีพ.ศ.2560 โดยกรมศิลปากร ปัจจุบันวัดภูเขาทอง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มีนาคม 2478
มีอาณาเขตติดต่อดังนี้
ด้านทิศเหนือ ติดต่อกับ พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ด้านทิศใต้ ติดต่อกับ ชุมชนภูเขาทอง มีระยะห่างจากแม่น้ำประมาณ 500 เมตร
ด้านทิศตะวันออก ติดต่อกับ พื้นที่เกษตรกรรม (ทุ่งนา)
ด้านทิศตะวันตก ติดต่อกับ ถนนหมายเลข อย.2055 และโบราณสถานวัดโคกพระยา (โคกพญาราม)
จากที่ตั้งของวัดภูเขาทอง จะเห็นได้ว่าอยู่กลางท้องทุ่งกว้างใหญ่ ค่อนไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา ในสมัยก่อนถือเป็นชัยภูมิที่สำคัญของกรุงศรีอยุธยา ในยามสงบจะเป็นที่ชุมนุมเล่นเพลงเรือ เพลงสักวา เพื่อความรื่นเริงของชาวประชาราษฎร แต่ในยามศึกสงคราม จะถูกเปลี่ยนเป็นค่ายวัด เป็นฐานที่ตั้งมั่นรับศึกปกป้องแผ่นดินไทย ในพระราชพงศาวดารบันทึกไว้ว่า ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระเจ้าหงสาวดีตะเบงชะเวตี้ ยกทัพเข้ามาหมายจะตีกรุงศรีอยุธยา “พระมหานาค” ซึ่งบวชอยู่ที่วัดภูเขาทอง ได้สึกออกมารับอาสาตั้งค่ายกันทัพเรือข้าศึก โดยตั้งค่ายตั้งแต่วัดภูเขาทองลงมาจนถึงวัดป่าพลู มหานาคนำพรรคพวกญาติโยมข้าทาสชายหญิง ช่วยกันขุดคูนอกค่ายวัดแยกออกจากคลองวัดภูเขาทอง มาจนออกแม่น้ำเจ้าพระยาที่บริเวณหัวแหลม เรียกคูขุดนี้ว่า คลองมหานาค ซึ่งถ้ามองจากภาพถ่ายทางอากาศ จะมองเห็นแนวคลองมหานาค อ้อมวัดภูเขาทองตัดกลางทุ่งนา ไปจนเกือบถึงวัดพนมยงค์ แล้วอ้อมเป็นแนวขนานไปกับแม่น้ำลพบุรี (คลองคูเมือง) ไปจรดกับแนวคลองมหานาคอีกด้านหนึ่ง ที่เลียบแม่น้ำเจ้าพระยาที่วัดป่าพลู ซึ่งตรงกับพระราชพงศาวดาร ที่บันทึกไว้ ปัจจุบันยังปรากฏร่องรอยคูน้ำ และคันดินของคลองสำคัญนี้อยู่บ้างในตำบลภูเขาทอง และคลองมหานาคนี้เอง ที่ได้เชื่อมโยงกรุงศรีอยุธยา และกรุงรัตนโกสินทร์ไว้ด้วยกัน เพราะหลังจากเสียกรุงฯ ครั้งที่ 2 ผู้คนพลเมืองทั้งหลาย ต่างก็ได้หนีหายกระจัดกระจายกันไป ภายหลังต่อมาจึงได้กลับมาลงหลักปักฐานกันอีกครั้งที่กรุงธนบุรี และเปลี่ยนผ่านมาสู่ยุคกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก องค์ปฐมกษัตริย์กรุงรัตนโกสินทร์ โปรดฯ ให้มีการขุดคลองใหม่สายหนึ่ง ใกล้กับวัดสะแก หรือ วัดสระเกศ ในปัจจุบัน พระราชทานนามว่า คลองมหานาค ตามชื่อคลองมหานาคที่เคยมีในสมัยกรุงศรีอยุธยา ด้วยมีพระประสงค์จะฟื้นคืนอยุธยากลับมา เป็นขวัญกำลังใจให้กับชาวพระนคร โดยมีศิลปวัฒนธรรมเป็นตัวเชื่อมโยง จึงได้จัดให้มีการเล่นเพลงเรือ โต้สักวากันที่คลองมหานาค ดังเช่นคนเมืองกรุงเก่าเมื่อครั้งในอดีต


ต่อมา ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้สร้างเจดีย์ภูเขาทองเหมือนกับ วัดภูเขาทอง พระนครศรีอยุธยา แต่ด้วยข้อจำกัดของช่างในขณะนั้น เมื่อก่อสร้างมาได้ระยะหนึ่ง ได้เกิดเหตุทรุดตัวของชั้นดิน ทำให้ช่างต้องคิดหาทางปรับเปลี่ยนรูปแบบการก่อสร้างใหม่ ทำให้เจดีย์เป็นดังที่เห็นในปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ พระราชทานนามเจดีย์ใหม่ว่า พระบรมบรรพต แต่ผู้คนทั่วไปยังคงเรียกติดปากว่า เจดีย์ภูเขาทอง
นอกจากนี้เจดีย์ภูเขาทองยังปรากฏชื่ออยู่ในงานวรรณกรรมระดับชาติ นั่นคือ นิราศภูเขาทอง ประพันธ์โดย สุนทรภู่ กวีเอกแห่งรัตนโกสินทร์ ที่เล่าเรื่องการเดินทางจากกรุงเทพมหานคร จนถึงพระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่เจดีย์ภูเขาทอง วัดภูเขาทอง เจดีย์ภูเขาทอง คลองมหานาค จึงเป็นเสมือนตัวแทนของกรุงศรีอยุธยา ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงทุกวันนี้