ทุนวัฒนธรรม ลำดับที่ 18: กลองรำมะนา

         กลองรำมะนา เป็นเครื่องตีประเภทกลองขึ้นหนังหน้าเดียว มีลักษณะสั้นหน้ากองขึงด้วยหนังวัวตึงด้วยหมุดทองแดงโดยรอบ มีเชือกเส้นหนึ่งที่เรียกว่า “สนับ” สำหรับหนุนข้างในโดยรอบ ถ้าหนังกองหย่อนก็สามารถช่วยทำให้เสียงสูง และไพเราะขึ้นได้บรรเลงด้วยการตีด้วยฝ่ามือคู่กับโทนมโหรี

           กลองรำมะนาเริ่มใช้ประกอบจังหวะในการแสดงร้องเพลง “บันตน” ซึ่งเข้าใจว่าได้รับต้นแบบมาจากชวาและเข้ามาแพร่หลายในไทย ช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ต่อมาได้พัฒนาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ในการบรรเลงเพลงประกอบจังหวะการละเล่นพื้นบ้านของไทย เช่น ลำตัด ลิเกลำตัด และลิเกรำมะนา เป็นต้น (สมชัย ชำพาลี, 2560)

          รำมะนามโหรี มีขนาดเล็ก หน้ากว้างประมาณ 26 เซนติเมตร ตัวรำมะนายาว ประมาณ 7 เซนติเมตร หนังที่ขึ้นหน้าตรึงด้วยหมุดโดยรอบ จะเร่งหรือลดเสียงให้สูงต่ำไม่ได้ แต่มีเชือกเส้นหนึ่งที่เรียกว่า “สนับ” สำหรับหนุนข้างในโดยรอบ ช่วยทำให้เสียงสูงได้ บรรเลงใช้ตีด้วยฝ่ามือคู่กับโทนมโหรี

         รำมะนาลำตัด มีขนาดใหญ่ หน้ากว้างประมาณ 48 เซนติเมตร ตัวรำมะนายาวประมาณ 13 เซนติเมตร  ขึ้นหนังหน้าเดียว โดยใช้เส้นหวายผ่าซีกโยงระหว่างขอบหน้ากับวงเหล็ก ซึ่งรองก้นใช้เป็นขอบของตัวรำมะนา และใช้ลิ่มหลายๆ อัน ตอกเร่งเสียงระหว่างวงเหล็กกับก้นรำมะนา รำมะนาชนิดนี้เข้าใจว่าได้แบบอย่างมาจากชวา และเข้ามาแพร่หลายในสมัยรัชกาลที่ 5 ใช้ประกอบการเล่นลำตัด และลิเกลำตัด ในการประกอบการเล่นลำตัดนั้นจะใช้รำมะนากี่ลูกก็ได้ โดยให้คนตีนั่งล้อมวง และเป็นลูกคู่ร้องไปด้วย

         กลองรำมะนาตีประกอบการขับร้องอีกทํานองหนึ่ง คือ ทํานอง “กีหรุ่น” หรือ “ทํานองบ้านคู้” เกิดขึ้นบริเวณชุมชนมุสลิมนิกายซูฟีย์ กอดิรียะฮ์ เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร ทำนองกีหรุ่นนี้ มีลักษณะเฉพาะ คือ มีการนําทํานองเพลงไทยมาใช้ เช่น เพลงพม่าเห่ เพลงเขมรพวง เพลงลาวสมเด็จ เป็นต้น ลักษณะการร้องมีการเอื้อนในแบบเพลงไทย เป็นการขับร้องเพียงอย่างเดียว โดยใช้ผู้ขับร้องทั้งหมดเป็นผู้หญิง

         สรุปได้ว่ารูปแบบของการแสดงดนตรีมุสลิมไทยภาคกลาง ก่อนปีพุทธศักราช 2510 นั้น มีรูปแบบการแสดงเป็นการนั่งล้อมวง ขับร้องบทเพลงประกอบการตีกลองรํามะนาทั้งสิ้น แต่หากต่างกันในเรื่องของภาษาที่ใช้เป็นบทร้อง และทํานองที่ใช้ เมื่อศึกษาลึกลงไปจะพบว่า โครงสร้างบทเพลงของแต่ละการแสดงนั้น มีความแตกต่างกัน ซึ่งแต่ละการแสดงมี 2 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ “ยาหวาบ”และ “ลาฆู” (จุฑาศิริ ยอดวิเศษ, 2553)

กระทั่งในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีผู้นํารูปแบบการขับร้องดิเกร์ปันตนมาใช้ขับร้องแต่เปลี่ยนบทร้องให้เป็นภาษาไทย ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก จากนั้นจึงมีการปรับเปลี่ยน  การเรียกชื่อใหม่เป็น “ดิเกร์ลำ” (คําว่า “ลำ” นี้หมายถึง ลำนํากลอน) รูปแบบของบทร้องยังคงมีฉันทลักษณ์เป็นกลอนปันตน และกลอนหัวเดียว ลักษณะของการแสดงยังคงไว้ซึ่งรูปแบบดั้งเดิม คือ การนั่งล้อมวง ขับลำนํากลอน ประกอบการตีกลองรำมะนา แต่มีการแบ่งคนร้องออกเป็น 2 ฝ่าย เพื่อร้องโต้ตอบกัน ให้ใกล้เคียงกับรูปแบบของเพลงปฏิพากย์ ที่ได้รับความนิยมในขณะนั้น เมื่อพัฒนาการขับร้องให้เป็นรูปแบบของดิเกร์ลำแล้วนั้น เพื่อให้ผู้ชมเห็นการร้องโต้ตอบกันได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ผู้ขับร้องนั่งคุกเข่าแทนการนั่งกับพื้น  อีกทั้งผู้ขับร้องยังสามารถแสดงท่าทางประกอบได้ ภายหลังจึงมีการเรียกชื่อการแสดงในลักษณะดังกล่าวนี้ว่า “ครึ่งท่อน” จากการนั่งคุกเข่าร้องเพลงโต้ตอบกัน ได้พัฒนาขึ้นเป็นการยืนขึ้น เพื่อแสดงออกถึงท่าทางได้อย่างเต็มที่ ภายหลังจึงเรียกว่า “ลำตัด” ไม่เรียกว่าครึ่งท่อนเหมือนแต่ก่อน เนื่องจากยืนเล่นทั้งหมด มีการด้นกลอน และใช้ทํานองเพลงไทยที่นิยมเข้ามาร้อง ปรับเปลี่ยนมาใช้เนื้อภาษาไทย เพื่อให้ผู้ฟังส่วนใหญ่เข้าใจได้ง่ายขึ้น คําว่า “ลำ” นั้นสืบเนื่องมาจากดิเกร์ลำ หมายถึง ลำนํากลอน ส่วนคําว่า “ตัด” หมายถึง การหยิบยกทํานองเพลงต่างๆ มาใช้ขับร้องรวมเล่นปะปนกันไป ฉันทลักษณ์ยังคงรูปแบบของกลอนหัวเดียวไว้ มีทั้งสิ้น 6 ทํานอง ได้แก่ ทํานองกลาง ทํานองกระพือ ทํานองจักรุณ ทํานองกระชั้นสูง ทํานองแขก หรือทํานองมลายู   ทํานองโศก (มี 2 ทํานอง คือ ทํานองโศกแขก และทํานองโศกมอญหรือทํานองโศกต่ำ)

Scroll to Top